หลังจากทำงานเสี่ยงอันตรายมาหลายครั้ง เจมส์บอนด์ (แดเนียล เคร็ก) ตัดสินใจลาออกจาก MI6 เพื่อต้องการชีวิตที่สงบสุข อย่างไรก็ตาม เมื่อเพื่อนเก่า เฟลิกซ์ ไลเตอร์ (เจฟฟรีย์ ไรต์) จากซีไอเอ มาขอความช่วยเหลือในการจัดการกับผู้ก่อการร้ายที่มีอาวุธทันสมัยและอันตราย เจมส์ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกลับเข้าสู่วงการอันตรายอีกครั้ง เพื่อรับมือกับภัยคุกคามครั้งใหม่นี้ ทำให้เขาต้องเผชิญกับความเสี่ยงและปัญหาอีกครั้ง.
หลังจากที่ทำงานเสี่ยงอันตรายมาแล้วมากมาย เจมส์บอนด์ (แดเนียล เคร็ก) ได้ตัดสินใจลาออกจากองค์กรสายลับอย่าง MI6 ที่เขาได้ทำงานกับองค์กรมาเนิ่นนาน เพื่อที่เขาจะได้มีชีวิตหลังจากนี้ด้วยความสงบสุข และไม่จำเป็นต้องเสี่ยงกับอะไรอีก แต่ไม่นานหลังจากที่เขาได้วางมือ เพื่อนเก่าของเขา เฟลิกซ์ ไลเตอร์ (เจฟฟรีย์ ไรต์) ที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานซีไอเอ ก็ได้เดินทางมาขอความช่วยเหลือจากเจมส์บอนด์ เนื่องจากเขาต้องรับมือกับผู้ก่อการร้าย ซึ่งมีอาวุธทันสมัยและโหดเหี้ยม ทำให้เจมส์บอนด์ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกลับไปเสี่ยงอีกครั้ง และจัดการกับผู้ก่อการร้ายคนใหม่นี้
เกี่ยวกับภาพยนตร์ “007: No Time To Die”
“เจมส์ บอนด์ 007: ภาค 25” หรือ “No Time To Die” เป็นภาพยนตร์แอ็คชั่น-ผจญภัยที่เข้าฉายในปี 2021 โดยมีแดเนียล เคร็ก ผู้นำแสดงในบทเจมส์ บอนด์อีกครั้ง นับเป็นภาพยนตร์ที่แสดงถึงการสิ้นสุดของการเดินทางในฐานะสายลับของเขาในตลอด 15 ปีที่ผ่านมา มีการผสมผสานระหว่างฉากบู๊สุดมันส์และเรื่องราวที่ลึกซึ้ง ทำให้แฟนๆ ต้องตั้งตารอเวลาก่อนที่ภาพยนตร์จะเข้าฉาย
- ชื่อภาพยนตร์: No Time To Die
- ผู้กำกับ: Cary Joji Fukunaga
- นักแสดงนำ: Daniel Craig, Rami Malek, Léa Seydoux, Ben Whishaw, Naomie Harris
- วันเข้าฉาย: 30 กันยายน 2564 (ในประเทศไทย)
- ความยาว: 163 นาที
- เรต: PG-13
- ผู้ผลิต: Eon Productions
การกลับมาของเจมส์ บอนด์
การกลับมาของเจมส์ บอนด์ใน “No Time To Die” หลังจากระยะเวลาหลายปีถือเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญในวงการภาพยนตร์ ไม่เพียงแต่แฟนๆ จะได้เห็นการแสดงที่เต็มเปี่ยมด้วยอารมณ์จากแดเนียล เคร็ก แต่ยังมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในเนื้อเรื่องที่จะทำให้ผู้ชมรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของตัวละครอีกด้วย เมื่อเราเห็นเขาพยายามที่จะมีชีวิตปกติไม่ใช่เพียงสายลับที่ต้องเผชิญกับอันตรายตลอดเวลา
การแสดงและบทบาทของนักแสดง
การคัดเลือกนักแสดงใน “No Time To Die” ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยแดเนียล เคร็กได้ทำหน้าที่ครองบทเจมส์ บอนด์อย่างล้ำค่า ขณะที่ราไม มัลเล็ก ก็ได้แสดงบทศัตรูหลักอย่างก่อการร้ายที่มีแผนร้ายกาจและอาวุธที่ทรงพลัง เสริมด้วยนักแสดงหญิงชั้นนำอย่างลียา เซดู ซึ่งรับบทเป็นโมนิคา ลูก้ายา แบ่งปันฉากที่มีความโรแมนติกและตื่นเต้นกับบอนด์
ทีมงานเบื้องหลัง
นอกจากนักแสดงแล้ว ทีมงานเบื้องหลังของ “No Time To Die” ก็ได้สร้างสรรค์ผลงานที่น่าชื่นชม มีการกำกับที่มีฝีมือโดย Cary Joji Fukunaga ที่มีประสบการณ์ในการสร้างภาพยนตร์คุณภาพ
เนื้อเรื่องและธีมหลัก
เนื้อเรื่องของ “No Time To Die” มีการถูกสร้างสรรค์อย่างมีศิลปะ เพื่อจับใจผู้ชมทั้งในด้าน อารมณ์ การกระทำ และความลุ้นระทึก เจมส์ บอนด์ต้องเผชิญกับการต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายใหม่ที่จะทำให้เขาหวนคืนกลับสู่วิถีชีวิตอันตราย นอกจากนี้ ภาพยนตร์ยังมีการสำรวจความเป็นมนุษย์ของตัวละคร ทำให้ผู้ชมสามารถเข้าใจถึงภาระและสงครามภายในของบอนด์ที่ต้องเลือกเส้นทางใหม่ในชีวิต
การรับรองด้านความปลอดภัย
ความสามารถในการจัดการกับพล็อตเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยและเทคโนโลยีก้าวหน้าได้อย่างมีความละเอียด มีการแสดงออกถึงปัญหาที่เผชิญในยุคปัจจุบัน เช่น การยิงจรวด การล็อกข้อมูล และอันตรายจากเทคโนโลยีใหม่ๆ นอกจากนี้ยังมีการชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของอำนาจและการควบคุมที่เป็นปัญหาในยุคนี้ ขยายภาพให้ชัดเจนถึงความจริงของยุคสมัย
การตอบรับจากนักวิจารณ์และผู้ชม
เสียงตอบรับจากนักวิจารณ์และผู้ชมถึง “No Time To Die” มีความหลากหลาย แต่หลายฝ่ายให้การรับรองว่านี่คือภาพยนตร์ที่สามารถสร้างความพึงพอใจ และเป็นการส่งท้ายเจมส์ บอนด์อย่างสมศักดิ์ศรี สำหรับแดเนียล เคร็ก มีการกล่าวถึงว่าเขาได้สร้างความลึกซึ้งให้กับตัวละครนี้ ทำให้การแสดงของเขาไม่ได้ จมอยู่เพียงแค่ฉากบู๊ แต่มีอารมณ์และความรู้สึกที่ลึกซึ้ง
ความสำเร็จในเชิงธุรกิจ
“No Time To Die” ยังสร้างรายได้สูงในบ็อกซ์ออฟฟิศทั่วโลก โดยสามารถเก็บเกี่ยวรายได้ประมาณ 774 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้กลายเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงที่สุดในช่วงเวลานั้นทั้งๆ ที่มีการเจอเรื่องราวของการระบาดของโควิด-19
สรุป
ภาพยนตร์ “007: No Time To Die” เป็นการผสมผสานระหว่างภาพยนตร์แอ็คชั่นที่เต็มไปด้วยการบู๊ และการสร้างเรื่องราวที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับชีวิตของเจมส์ บอนด์ มันบ่งบอกถึงความเปลี่ยนแปลงในชีวิตที่เกิดขึ้นกับตัวละคร ที่ทำให้ภาพยนตร์นี้ไม่เพียงแต่เป็นการชี้ให้เห็นถึงการต่อสู้ที่วุ่นวาย แต่ยังดึงเอาความรู้สึกและคุณค่าของมนุษย์ออกมาได้อย่างชัดเจนอีกด้วย หากคุณยังไม่ได้ชมภาพยนตร์นี้ ขอแนะนำให้คุณได้ลองดู เพราะมันไม่ใช่เพียงแค่ภาพยนตร์บู๊ แต่ยังเป็นการเดินทางที่เป็นประสบการณ์ที่แท้จริง